เพิ่มสวัสดิการด้วยนโยบาย 'Bleisure Travel': มัดใจพนักงานยุคใหม่โดยไม่ต้องเพิ่มเงินเดือน
ในยุคที่การแข่งขันเพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากร (Talent) สูงขึ้นเรื่อยๆ "เงินเดือน" อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายอีกต่อไป พนักงานยุคใหม่มองหาความยืดหยุ่นและสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและการพักผ่อน (Work-Life Balance) มากขึ้น ขอแนะนำให้รู้จักกับ Bleisure Travel (Business + Leisure) เทรนด์สวัสดิการมาแรงที่องค์กรชั้นนำทั่วโลกกำลังนำมาปรับใช้ เพื่อสร้างความสุขและมัดใจพนักงานโดยที่บริษัทแทบไม่ต้องควักกระเป๋าเพิ่มเลย บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร และจะเริ่มต้นสร้างนโยบายนี้ในองค์กรของคุณได้อย่างไร
ทำไม 'Bleisure Travel' ถึงเป็นสวัสดิการที่ "Win-Win" ทั้งสองฝ่าย?
Bleisure คือการที่พนักงานขยายระยะเวลาการเดินทางเพื่อธุรกิจ (Business Trip) ต่อออกไปเพื่อท่องเที่ยวส่วนตัว โดยอาจจะพักต่อในช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งประโยชน์นั้นตกอยู่กับทั้งสองฝ่าย
ประโยชน์สำหรับพนักงาน (Benefits for the Employee)
- เพิ่ม Work-Life Balance: ลดความเหนื่อยล้าและความเครียดจากการเดินทางเพื่อทำงานเพียงอย่างเดียว
- ประหยัดค่าใช้จ่าย: เหมือนได้เที่ยวในราคาที่ถูกลง เพราะบริษัทจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับให้แล้ว
- สร้างแรงบันดาลใจ: การได้เปิดประสบการณ์ในสถานที่ใหม่ๆ ช่วยเติมไฟในการทำงาน
ประโยชน์สำหรับองค์กร (Benefits for the Organization)
- เพิ่มความน่าดึงดูดในการจ้างงาน: เป็นสวัสดิการที่ทันสมัย ทำให้บริษัทของคุณโดดเด่นกว่าคู่แข่ง
- รักษาพนักงานที่มีคุณภาพ (Talent Retention): พนักงานที่มีความสุข ย่อมอยากอยู่กับองค์กรไปนานๆ
- ต้นทุนต่ำมาก: องค์กรจ่ายค่าใช้จ่ายเฉพาะในส่วนของ "ธุรกิจ" ตามปกติอยู่แล้ว ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายส่วน "ท่องเที่ยว" เพิ่มขึ้น
- พนักงานกลับมาทำงานอย่างมีพลัง: การได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงาน
4 ขั้นตอนในการสร้างนโยบาย Bleisure Travel สำหรับองค์กร
การอนุญาตให้พนักงานเที่ยวต่อไม่ใช่แค่การบอกปากเปล่า แต่ควรมีนโยบายที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
1. กำหนดขอบเขตและเงื่อนไขให้ชัดเจน (Define Clear Scope and Conditions)
ตอบคำถามเหล่านี้ให้ชัดในนโยบายของคุณ:
- ใครมีสิทธิ์บ้าง? (พนักงานทุกคน, หรือเฉพาะบางตำแหน่ง?)
- ต้องเดินทางนานแค่ไหนถึงจะขอเที่ยวต่อได้? (เช่น การเดินทางที่นานกว่า 3 วันขึ้นไป)
- สามารถหยุดพักร้อนต่อได้นานสูงสุดกี่วัน?
- ต้องแจ้งและขออนุมัติล่วงหน้ากี่วัน?
2. แยกแยะค่าใช้จ่ายอย่างโปร่งใส (Separate Expenses Transparently)
นี่คือหัวใจที่สำคัญที่สุด ต้องระบุให้ชัดเจนว่าอะไรคือสิ่งที่ "บริษัทจ่าย" และอะไรคือสิ่งที่ "พนักงานจ่าย"
ส่วนที่บริษัทรับผิดชอบ: ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ (ตามกำหนดการทำงานเดิม), ค่าที่พักในคืนที่ทำงาน, ค่าเดินทางและค่าอาหารในวันทำงาน
ส่วนที่พนักงานรับผิดชอบ: ค่าที่พักในคืนที่เที่ยวต่อ, ค่าอาหารและค่าเดินทางส่วนตัวในวันหยุด, ค่ากิจกรรมท่องเที่ยวทั้งหมด
3. อัปเดตนโยบายประกันการเดินทาง (Update Travel Insurance Policy)
เป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม ต้องตรวจสอบกับบริษัทประกันว่ากรมธรรม์การเดินทางของบริษัทครอบคลุมช่วงเวลาที่พนักงานเที่ยวต่อหรือไม่ หากไม่ครอบคลุม ต้องระบุในนโยบายให้พนักงานรับผิดชอบซื้อประกันสำหรับวันหยุดของตนเอง
4. สื่อสารนโยบายให้ทั่วถึง (Communicate the Policy Thoroughly)
เมื่อนโยบายเสร็จสมบูรณ์แล้ว ควรประกาศให้พนักงานทุกคนทราบอย่างเป็นทางการ และบรรจุไว้ในคู่มือพนักงานเพื่อให้พนักงานใหม่ได้รับทราบถึงสวัสดิการดีๆ นี้
ทำให้ Bleisure Travel เป็นเรื่องง่ายด้วย Corporate Travel Partner
การจัดการจองตั๋วเครื่องบินที่มีวันกลับไม่ตรงกัน, การจองโรงแรมที่ต้องแยกจ่าย, หรือการจัดการเอกสารใบเสร็จอาจเป็นเรื่องซับซ้อนสำหรับฝ่ายบุคคล และมักเป็นที่มาของ ค่าใช้จ่ายแฝงเมื่อต้องจอง Business Travel เอง ที่หลายองค์กรคาดไม่ถึง การใช้บริการ Corporate Travel Agent จึงเข้ามาช่วยดูแลความยุ่งยากเหล่านี้ทั้งหมด ทำให้การอนุมัติและการจัดการเป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้องตามนโยบาย
พร้อมสร้างองค์กรที่น่าทำงานที่สุดแล้วหรือยัง?
การนำนโยบาย Bleisure Travel มาใช้ คืออีกหนึ่งก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรของคุณใส่ใจในคุณภาพชีวิตของพนักงานอย่างแท้จริง ให้ Diva MICE ช่วยคุณวางแผนและบริหารจัดการการเดินทางเพื่อธุรกิจที่ทันสมัยและตอบโจทย์คนรุ่นใหม่